วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

แนวทางของการศึกษากายวิภาคศาสตร์มนุษย์

ปัจจุบัน การศึกษากายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์จะแบ่งออกเป็นสองแบบ คือการศึกษาเฉพาะในแต่ละส่วน (Regional approach) และการศึกษาในแต่ละระบบอวัยวะ (Systemic approach)

กายวิภาคศาสตร์มนุษย์เฉพาะส่วน

ภาพ บทเรียนกายวิภาคของนายแพทย์ทุลพ์
โดย
แรมบรังด์แสดงภาพของการสาธิตการชำแหละศพ
ในสมัยศตวรรษที่ 17
โดยทั่วไปแล้ว ร่างกายของมนุษย์จะถูกแบ่งออกเป็น 7 ส่วน ได้แก่
  • ศีรษะและลำคอ (Head and neck) ได้แก่ส่วนของร่างกายที่อยู่เหนือต่อช่องอก
  • รยางค์บน (Upper limbs) ซึ่งรวมตั้งแต่ส่วนของไหล่ ต้นแขน ศอก ปลายแขน ข้อมือ และมือ
  • หลัง (Back) คือโครงสร้างส่วนที่อยู่โดยรอบกระดูกสันหลังตั้งแต่ส่วนคอถึงก้นกบ
  • ทรวงอก (Thorax) คือบริเวณตั้งแต่ส่วนที่อยู่ด้านล่างต่อลำคอ จนถึงกะบังลม
  • ช่องท้อง (Abdomen) คือบริเวณตั้งแต่กะบังลมจนถึงขอบเชิงกรานและเอ็นขาหนีบ (inguinal ligamant)
  • อุ้งเชิงกรานและฝีเย็บ (Pelvis and perineum) ได้แก่บริเวณที่อยู่ใต้ขอบเชิงกรานลงไปจนถึงแผ่นปิดเชิงกราน (pelvic diaphragm) ส่วนฝีเย็บเป็นบริเวณโดยรอบทวารหนักและอวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งอยู่ใต้แผ่นปิดเชิงกราน
  • รยางค์ล่าง (Lower limbs) คือส่วนที่อยู่ใต้ต่อเอ็นขาหนีบ ซึ่งได้แก่ต้นขา เข่า น่อง ข้อเท้า จนถึงเท้า

ภาพสแกนโดยการถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์
แสดงภาคตัดขวางของศีรษะของมนุษย์
ในระนาบที่ผ่าน
เบ้าตาสมองกลีบขมับ และซีรีเบลลัม

กายวิภาคศาสตร์มนุษย์ในแต่ละระบบ

มนุษย์ประกอบด้วยระบบของอวัยวะทั้งหมด 10 ระบบ ซึ่งได้แก่
  • ระบบเครื่องห่อหุ้มร่างกาย (Integumentary system)
  • ระบบหัวใจหลอดเลือด (Cardiovascular system)
  • ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory system)
  • ระบบย่อยอาหาร (Digestive system)
  • ระบบขับถ่าย (Excretory system)
  • ระบบน้ำเหลือง (Lymphatic system)
  • ระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Musculoskeletal system)
  • ระบบประสาท (Nervous system)
  • ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine system)
  • ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive system)

ประวัติของการศึกษากายวิภาคศาสตร์มนุษย์

การศึกษากายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์เริ่มขึ้นตั้งแต่ในสมัยอารยธรรมโบราณ โดยอาศัยการผ่าตัดซากศพของมนุษย์ จนกระทั่งได้มีวิวัฒนาการของการใช้น้ำยารักษาสภาพของศพเพื่อการศึกษา ทำให้มีการศึกษากายวิภาคของมนุษย์ที่เป็นแบบแผนมากขึ้น จนกระทั่งปัจจุบันที่มีการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการรักษาและการศึกษากายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์

การศึกษาในยุคโบราณ
อารยธรรมที่มีการค้นพบว่ามีการศึกษากายวิภาคของมนุษย์อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นอารยธรรมแรก คืออารยธรรมอียิปต์โบราณ จากการค้นพบบันทึกในกระดาษปาปิรุส (papyrus) ที่มีการกล่าวถึงอวัยวะภายในของมนุษย์ อาทิ หัวใจหลอดเลือด ตับ ไต ม้าม มดลูก และกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ ชาวอียิปต์โบราณยังมีความเชื่อว่าหัวใจเป็นศูนย์กลางของร่างกาย และเป็นแหล่งรวมของของเหลวทุกชนิดในร่างกาย

ในยุคของอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษากายวิภาคศาสตร์ได้มีความเจริญก้าวหน้าขึ้น โดยมีแพทย์และนักปราชญ์เมธีกรีกหลายคนมีส่วนในการพัฒนาวิชานี้ อาทิเช่น ฮิปโปกราเตส (Hippocrates) อริสโตเติล (Aristotle) ฮีโรฟิโลส(Herophilos) และอีราซิสทราทุส (Erasistratus) อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีส่วนในการวางรากฐานของการศึกษากายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคโบราณ คือ กาเลน (Galen) ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ชาวกรีกที่ได้ศึกษากายวิภาคของมนุษย์ผ่านทางการผ่าตัดบาดแผลต่างๆ และการศึกษาจากการชำแหละสัตว์ บันทึกของกาเลนได้ถูกนำมาใช้ในการศึกษากายวิภาคศาสตร์จนกระทั่งถึงยุคกลาง

การศึกษาในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

แอนเดรียส เวซาเลียส
          การศึกษากายวิภาคของมนุษย์หยุดชะงักลงไปชั่วคราวในช่วงยุคกลาง ซึ่งมีข้อกำหนดทางศาสนาที่เคร่งครัด จนกระทั่งแพทย์หลวงในอาณาจักรโรมันโบราณ ชื่อ แอนเดรียส เวซาเลียส (Andreas Vesalius) ได้ทำการศึกษากายวิภาคของมนุษย์อย่างละเอียดโดยใช้ศพของนักโทษประหาร และตีพิมพ์เป็นหนังสือ De humani corporis fabrica ซึ่งมีภาพประกอบของร่างกายของมนุษย์ที่ละเอียดและสมจริงอย่างมาก การศึกษากายวิภาคของมนุษย์ได้มีการพัฒนาอย่างแพร่หลายไปพร้อมกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ซึ่งศิลปินเอกหลายคนได้ศึกษาโครงสร้างต่างๆของมนุษย์เพื่อประกอบการสร้างงานศิลปะ ทำให้วิชากายวิภาคศาสตร์รุดหน้าไปมาก

การศึกษากายวิภาคศาสตร์ในยุคปัจจุบัน

ในช่วงศตวรรษที่ 19 ด้วยวิทยาการใหม่ทางด้านเคมี ทำให้สามารถนำสารเคมีมาใช้ในการรักษาสภาพและศึกษาโครงสร้างส่วนต่างๆของมนุษย์ ทั้งในระดับมหกายวิภาคศาสตร์ และระดับจุลกายวิภาคศาสตร์ได้มากขึ้น และทำให้ความรู้ทางด้านนี้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว มีการศึกษาอวัยวะต่างๆของมนุษย์อย่างเป็นระบบระเบียบ จนกระทั่งในศตวรรษที่ 20 ได้มีการนำเอาเครื่องมือทางฟิสิกส์มาใช้ในการศึกษาโครงสร้างภายในของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น การใช้รังสีเอกซ์ การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (Magnetic resonance imaging) และการถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ (Computer tomography) ซึ่งนับว่าเป็นวิวัฒนาการล่าสุดในการวิเคราะห์โครงสร้างของมนุษย์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการวินิจฉัยโรค



วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ My Anatomy
กายวิภาคศาสตร์มนุษย์ (อังกฤษHuman anatomy) เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่เน้นทางด้านการศึกษาโครงสร้างต่างๆที่ประกอบกันเป็นร่างกายของมนุษย์ และเป็นหนึ่งในศาสตร์ที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน การศึกษากายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์สามารถแบ่งออกได้เป็นสี่สาขาหลัก ได้แก่ มหกายวิภาคศาสตร์ (Gross anatomy) จุลกายวิภาคศาสตร์ (Histology)ประสาทกายวิภาคศาสตร์ (Neuroanatomy) และกายวิภาคศาสตร์การเจริญเติบโต (Developmental anatomy) ในปัจจุบันการศึกษากายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์จะเน้นไปในด้านการประยุกต์ใช้ และการนำเอาเทคโนโลยีทางด้านอณูชีววิทยามาใช้ในการศึกษากายวิภาคศาสตร์ในระดับเซลล์และเนื้อเยื่อ